นายแพทย์ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด กล่าวว่า ผู้ป่วยที่เคยมีอาการแพ้ยาชนิดหนึ่ง และเมื่อหยุดใช้ยาแล้วอาการนั้นหายไป แต่เมื่อได้รับยาชนิดเดิมซ้ำ จะทำให้เกิดอาการแพ้เช่นเดียวกับการแพ้ยาในครั้งก่อน ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับยาชนิดนั้นในครั้งต่อมา ปฏิกิริยาตอบสนองทางภูมิคุ้มกันจึงเกิดได้เร็วกว่าในครั้งแรก จะส่งผลให้อาการแพ้เกิดขึ้นหลังจากได้รับยาโดยเร็ว ซึ่งความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากพบผู้ป่วยเกิดอาการแพ้ยา ต้องให้หยุดใช้ยานั้นทันที และห้ามใช้ยานั้นอีกต่อไป อาการแพ้ยาแบ่งเป็น 2 แบบ คือ อาการแพ้ยาแบบฉับพลัน จะแสดงอาการภายใน 1 ชม. และ อาการแพ้ยาไม่ฉับพลัน จะแสดงอาการเกิน 1 ชม. ส่วนระดับการแพ้ยา แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ 1.แพ้ไม่รุนแรง ลมพิษ ผื่นแดง มีจุดหรือตุ่มน้ำขึ้นตามร่างกาย บวมตามอวัยวะต่างๆ เช่น ตา ปาก เป็นต้น 2.แพ้ปานกลาง ใจสั่น แน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน และหายใจติดขัดคล้ายหอบหืด และ 3.แพ้รุนแรง เป็นลม ตัวเย็น ชีพจรเบาและเร็ว ความดันต่ำ และหยุดหายใจ รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

และเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 เวลา 13.00 น. นายแพทย์ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด พร้อมด้วย นพ.ธนากร จิรชวาลา รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์คนที่ 1, ผศ.(พิเศษ) นพ.ณรงค์ชัย สังซา รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์คนที่ 2 เภสัชกร บุคลากรโรงพยาบาลร้อยเอ็ด ร่วมรณรงค์ประกาศนโยบายการใช้ยาอย่างปลอดภัย เพื่อป้องกัน การแพ้ยาซ้ำ แก่ พยาบาล พนักงานช่วยเหลือคนไข้ ตามหอผู้ป่วยในโรงพยาบาล เพื่อให้ตระหนักถึงการทบทวนรายการยา ที่ผู้ป่วยได้รับประจำ ให้ได้รับยาที่จำเป็นอย่างต่อเนื่อง ตามมาตรฐานการให้ยาและผู้ป่วยมีความปลอดภัยสูงสุด

อุไรพรณ์ ทิดจันทึก : บรรณาธิการ / อัครพล ปัญญาวิภาส : ข่าว ภาพ / โรงพยาบาลร้อยเอ็ด / 17 มกราคม 2566